ต้อยทูเดย์ออนไลน์ Toytodayonline

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ครั้งที่ 105

วันที่ 30 ตุลาคม  2563 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 105 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พร้อมด้วย พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกฯ เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้.-1.การเตรียมความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 พายุโซนร้อน “โมลาเบ”2.โครงการอบรม “พัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3”3.การปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้4.โรคภัยที่มาพร้อมกับฤดูหนาว!!!!!! ต้อย​ รอบรั้วภูธร​ 0619525644!!!!!

การเตรียมความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 พายุโซนร้อน “โมลาเบ”

วันที่ 30 ตุลาคม 2563 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 105 ณ อาคารศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พร้อมด้วย พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกฯ เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้.- ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 พายุโซนร้อน “โมลาเบ” (พายุระดับ 3) ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน (พายุระดับ 2) และคาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง (พายุระดับ 1) ในระยะต่อไป ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเป็นบริเวณกว้างและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง ในช่วงวันที่ 28-30 ตุลาคม 2563 ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในห้วงนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 ได้สั่งการให้ หน่วยขึ้นตรง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 ในทุกพื้นที่หน่วยทหาร เตรียมความพร้อมในการเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ทันทีเมื่อประสบภัย อาทิ อุทกภัย, น้ำป่าไหลหลาก, น้ำล้นตลิ่ง, ดินโคลนถล่ม และวาตภัย เป็นต้น โดยความร่วมมือของส่วนราชการ, ภาคเอกชน และประชาชนจิตอาสาในการระดมศักยภาพ ทั้งทางด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์ และชุดแพทย์เดินเท้าเคลื่อนที่ในการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ประสบภัยพิบัติต่างๆ และต้องการความช่วยเหลือ ขอให้ท่านได้กรุณาแจ้งข่าวสารได้ที่ หน่วยทหารใกล้บ้าน หรือศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3  หมายเลขโทรศัพท์ 055 – 242859, เฟซบุ๊ก : ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3 และ เว็บไซต์ : กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) http://army3.rta.mi.th/ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ ในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน!!!!! ต้อย​ รอบรั้วภูธร 0619525644!!!! 

โครงการอบรม “พัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3”

วันที่ 30 ตุลาคม 2563 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 105 ณ อาคารศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พร้อมด้วย พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกฯ เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้.- ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก มีนโยบายจัดทำหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาค (พสบ.ทภ.) เพื่อสร้างเครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนและร่วมมือแก้ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ โดยให้แต่ละกองทัพภาค เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกข้าราชการทหาร/ตำรวจ, ข้าราชการพลเรือน, พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานองค์กรของรัฐ รวมถึงนักธุรกิจภาคเอกชน ในแต่ละพื้นที่เข้าร่วมโครงการอบรม นั้น ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กำหนดจัดโครงการอบรม “พัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3” รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม 2563 รายละเอียดดังนี้.- 1. ระยะเวลาการอบรม จำนวน 4 สัปดาห์ รวม 9 วัน ดังนี้.-  1.1 สัปดาห์ที่ 1 และ 2 อบรมฯ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์   1.2 สัปดาห์ที่ 3 อบรมฯ วันอังคาร และวันพุธ   1.3 สัปดาห์ที่ 4 อบรมฯ วันพุธ, วันพฤหัสบดี และวันศุกร์  2. คุณสมบัติของผู้เข้ารับการอบรม ดังนี้.- 2.1 คุณสมบัติทั่วไป : 2.1.1 มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และไม่มีผลกระทบต่อการเข้ารับการอบรมฯ 2.1.2 มีอายุตั้งแต่ 45 ปี ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 55 ปี 2.1.3 หากเป็นผู้สำเร็จและ/หรือผ่านการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารของเหล่าทัพอื่นมาก่อน ต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี 2.1.4 ผ่านการสัมภาษณ์ของคณะกรรมการ และสามารถเข้ารับการอบรมได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด 2.2 คุณสมบัติเฉพาะ : 2.2.1 ข้าราชการทหาร/ตำรวจ - เป็นนายทหาร/ตำรวจ ชั้นสัญญาบัตร ชั้นยศพันเอก, นาวาเอก, นาวาอากาศเอก และพันตำรวจเอก แต่ไม่เกินระดับพันเอกพิเศษ, นาวาเอกพิเศษ, นาวาอากาศเอกพิเศษ และพันตำรวจเอกพิเศษ (น.4 ขึ้นไป ไม่เกิน น.5) - สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการของเหล่าทัพ หรือเทียบเท่า และ มีตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการกรม หรือรองผู้อำนวยการกอง หรือเทียบเท่าขึ้นไป - สำหรับผู้ที่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการของเหล่าทัพหรือเทียบเท่าจะต้องมีความรู้พื้นฐานไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี - ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 2.2.2 ข้าราชการพลเรือนพนักงานรัฐวิสาหกิจและพนักงานองค์กรของรัฐ - เป็นข้าราชการระดับ 8 หรือเทียบเท่าขึ้นไปตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ตำแหน่ง ประเภทวิชาการ หรือประเภทผู้อำนวยการขึ้นไป ที่มีหน่วยงานหรือองค์กรอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 - หัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น หัวหน้าหน่วยงานด้านการปกครอง (นายอำเภอ หรือ ปลัดอำเภอ), ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (นายกเทศบาล/อบต., ปลัดเทศบาล/อบต.), ผอ.ปภ.เขต/ หน.ปภ.จังหวัด, ผู้บริหารสำนักจัดการป่าไม้เขต, หน.อุทยานแห่งชาติ, ผอ.ปปส.ภาค เป็นต้น ที่มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 - พนักงานรัฐวิสาหกิจพนักงานองค์กรของรัฐ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการกอง หรือเทียบเท่าขึ้นไป ที่มีหน่วยงานหรือองค์กรอยู่ในเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 2.2.3 นักธุรกิจภาคเอกชน ตำแหน่ง ผู้บริหาร/ผู้จัดการ หรือเทียบเท่าเจ้าของกิจการ ที่มีสถานที่ประกอบการ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 3. กำหนดการรับสมัคร และกำหนดการสัมภาษณ์ 3.1 กำหนดการรับสมัคร : วันที่ 15 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน 2563 3.2 กำหนดการสัมภาษณ์ : วันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 เวลา 09.00 น. – 16.00 น. กองทัพภาคที่ 3 ขอเชิญชวนท่านผู้สนใจ ร่วมเปิดมุมมองผ่านโครงการ “พัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนในการปฏิบัติภารกิจของทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ   พลเรือน ภาคเอกชน และประชาชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายในการพัฒนางานในทุกๆ ด้าน ของทุกภาคส่วนอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 หมายเลขโทรศัพท์ 055 – 242859!!!!!! ต้อย​ รอบรั้วภูธร0619525644!!!!! 

กองทัพภาคที่ 3 เตือนโรคภัยที่มาพร้อมกับฤดูหนาว

วันที่ 30 ตุลาคม 2563 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 105 ณ อาคารศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พร้อมด้วย พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกฯ เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้.- ตามที่ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศให้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2563   ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวในปีนี้ ลักษณะอากาศบริเวณประเทศไทยตอนบนยังคงแปรปรวน โดยจะมีฝนตกในบางช่วงแต่ปริมาณไม่มากนัก ฤดูหนาวถึงแม้จะเป็นฤดูที่หลาย ๆ คนชอบ แต่ก็เป็นฤดูที่อาจนำความเจ็บป่วยบางอย่างมาให้กับคนเราหลายอย่าง โดยเฉพาะถ้าเราดูแลสุขภาพไม่ดี ถึงแม้ประเทศไทยอากาศจะไม่หนาวเท่ากับหลาย ๆ ประเทศ แต่อุณหภูมิในฤดูหนาวบางปี และในบางพื้นที่ก็สามารถทำให้เราเจ็บป่วยได้ ซึ่งโรคที่จะมาพร้อมกับฤดูหนาว ได้แก่ 1. โรคไข้หวัด ในโลกเรามีเชื้อไวรัสหวัดเป็นร้อยชนิด ซึ่งเราสามารถติดต่อได้จากการสูดอากาศที่มีเชื้อโรคนี้ ปนอยู่ อาการประกอบด้วยไอ จาม คัดจมูกน้ำมูกไหล ระคายคอ มีไข้ โดยทั่วไปจะหายไป ภายใน 1 สัปดาห์ โรคนี้จะหายได้เองโดยธรรมชาติไม่มีภาวะแทรกซ้อน การดูแลรักษาตอนที่ไม่สบายได้แก่ การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็น ดื่มน้ำมาก ๆ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ รับประทานยาลดไข้พาราเซตตามอล ยาลดน้ำมูกและยาแก้ไอ อย่างไรก็ตาม การรับประทานยาเหล่านี้ ไม่ได้ลดจำนวนวันของอาการไม่สบายลง 2. โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่จะมีการระบาดใหญ่เป็นประจำในช่วงฤดูหนาว เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดเอ บีและซี เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซีนั้นพบน้อยในวงแคบและไม่รุนแรง ส่วนชนิดบีพบเฉพาะในคน ไม่ค่อยทำให้ เกิดอาการ รุนแรง แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอนั้นพบได้ในคนและสัตว์นานาชนิดสามารถก่อโรคได้รุนแรง และเป็นปัญหาของโลก เกือบทุกปี เพราะแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อโรคจะมาจากน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย เมื่อมีการไอ จามทำให้เชื้อ แพร่กระจายในอากาศ แล้วเราสูดเข้าไปในทางเดินหายใจและทำให้เกิดโรคภายใน 1-3 วัน นอกจากนั้นอาจติดต่อโดยการ ที่เราไปจับสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได แก้วน้ำ โทรศัพท์ เป็นต้น แล้วเรามาจับบริเวณใบหน้าเรา ทำให้เชื้อเข้าไปในร่างกายทางจมูกได้ โดยส่วนใหญ่โรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงอันใดกับคนทั่วๆ ไป แต่ในผู้ป่วยบางกลุ่มเช่น ผู้สูงอายุ  ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจวาย เบาหวาน โรคไตวาย ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้มาก เช่น เกิดปอดอักเสบติดเชื้อ ทั้งจากไวรัส ไข้หวัดใหญ่เองหรือจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมา ในประเทศไทยเองก็มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ปีละ 20,000-50,000 รายทุกปี แต่อัตราการเสียชีวิตไม่ถึง 10 รายต่อปี โดยส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตมักเป็นผู้ป่วยสูงอายุ อาการของไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ซึ่งมักมีอาการมากในช่วง 3-4 วันแรก หลังจากนั้นอาจมี เจ็บคอ ไอแห้ง ๆ คัดจมูกน้ำมูกไหล โดยทั่วไปมีอาการอยู่ประมาณ 7-10 วัน ผู้สูงอายุอาจมีอาการไม่ชัดเจน (atypical presentations) ได้บ่อย บางครั้งอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ซึมสับสนหรือการช่วยเหลือตนเองได้ลดลง      การรักษาเมื่อมีอาการไม่สบายแล้วก็เหมือนกับการรักษาไข้หวัดดังกล่าวแล้ว ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพรินลดไข้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการไรย์ ( Rye syndrome) ได้ สำหรับยากดการเพิ่มจำนวนของไวรัส ได้แก่ Amantadine, Rimantadine และ Neuraminidase inhibitors (oseltamivir และ zanamivir) นั้นมักไม่ต้องใช้และไม่ค่อยมีในโรงพยาบาลทั่วไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้และปัจจุบันไวรัสมีการดื้อยามากขึ้น ส่วนใหญ่ใช้ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง 3. อาการหอบหืดในผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรังกำเริบ  ผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรังบางรายอาจมีอาการกำเริบหอบเหนื่อยมากขึ้นในฤดูหนาวได้ โดยเฉพาะหากติดเชื้อไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย   ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวจึงต้องดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อไม่ให้ติดไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ มียาแก้หอบติดตัวและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย 4. โรคภูมิแพ้ ช่วงฤดูหนาวคนที่มีโรคภูมิแพ้อากาศอยู่เดิมอาจมีอาการมากขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงอากาศเปลี่ยนใหม่ ๆ หรือบางคนที่แพ้ตัวไรในฝุ่นซึ่งอยู่ตามที่นอน แพ้ควันบุหรี่ แพ้ขนสัตว์ ในช่วงฤดูหนาวอาจมีอาการมากขึ้น เนื่องจากเรามีโอกาสอยู่ในบ้านมากขึ้นร่วมกับคนที่สูบบุหรี่ และสัตว์เลี้ยง ซึ่งก็มักอยู่ในบ้านในช่วงฤดูหนาว ทำให้คนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่เดิมมีโอกาสได้รับการกระตุ้นจากสิ่งที่แพ้มากขึ้น โดยอาจมีอาการคันจมูก คันตา จามมีน้ำมูกใสๆ คัดจมูกอยู่ตลอดได้ ผู้ป่วยบางรายมีผื่นนูนคันเวลาอากาศเย็น (cold-induced urticaria) โดยมักมีอาการในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยน อาจมีตุ่มนูนคันขึ้นในบริเวณที่ถูกอากาศเย็นได้ ในช่วงนี้ควรดูแลสุขภาพให้ดี หลีกเลี่ยงอากาศที่หนาวจัด สวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่น บางรายถ้ามีอาการมากอาจต้องรับประทานยาแก้แพ้อากาศเพื่อลดอาการลง 5. อุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไป (Hypothermia) ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่อาจเกิดปัญหาอุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไป (hypothermia) ขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะในบางราย ที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย ในบางพื้นที่ของประเทศที่มีอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 15-18 องศาเซลเซียส อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ การดูแลป้องกันคือ การพยายามรักษาความอบอุ่นของร่างกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบถ้วน และพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศหนาวจัด 6. ผิวหนังแห้ง ลอกและคัน ในช่วงอากาศหนาว ความชื้นในอากาศมักลดลง ความชื้นที่ผิวหนังของเราก็จะลดลงไปด้วย   อาจทำให้ผิวแห้ง คันและลอกได้ ซึ่งมักก่อให้เกิดปัญหากับคนที่ผิวแห้ง หรือผู้สูงอายุที่มีต่อมไขมันทำงานลดลง และความชื้นของชั้นผิวหนังน้อยอยู่แล้ว การป้องกันและแก้ไข คือ การใช้สบู่อ่อน ๆ ไม่ขัดผิวมาก ไม่ควรแช่น้ำอุ่นนาน ๆ อาจอาบน้ำลดลงเป็นวันละครั้ง และทาครีมหรือ น้ำมันทาผิวหลังอาบน้ำขณะที่ผิวยังหมาดๆ อยู่        จะเห็นได้ว่าในฤดูหนาวนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้หลายอย่าง การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและการหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคหรือตัวกระตุ้นโรคภูมิแพ้ ดังกล่าวแล้ว เป็นสิ่งที่สามารถลดโอกาสความเจ็บป่วยลงได้ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 และพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จึงได้มอบหมายให้โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพื่อเฝ้าระวังโรคภัยที่มาพร้อมกับฤดูหนาว ซึ่งหากพบว่าตนเองหรือคนรอบข้าง มีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่าป่วยด้วยโรคตามขั้นต้น ขอให้ได้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาต่อไป!!!!! ต้อย​ รอบรั้ว​ภูธร​ 0619525644!!!!!!!

อุทัยธานี-ดังไม่หยุด!แห่ขอเลขแม่ตะเคียนยักษ์ใหญ่พร้อมขอโชคลาภไอ้ไข่ แกะสลักด้วยไม้ตะเคียนทอง ได้เลขสมใจ ณ วัดเขาถ้ำประทุน อ.บ้านไร่

เมื่อเวลา 12.00.น.ของวันที่ 29 ต.ค.63 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังวัดเขาถ้าประทุน หมู่ 12 ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี โดยมีพระอธิการบุญยืน ปริชาโน เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำประทุน พร้อมกับแม่ชีแก้วเพชร มณีมหาปัญโญ ซึ่งรักษาศิลปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดเขาถ้ำประทุน ณ วัดแห่งนี้ ภายในโบสถแกะสลักด้วยรากไม้ ที่กำลังก่อสร้างเมื่อแล้วเสร็จจะเป็น พระอุโบสถรากไม้หนึ่งเดียวในโลก และยังมีงานไม้ศิลปะแกะสละหลายรูปแบบให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชมโดยมีชาวบ้านในพื้นที่และต่างจังหวัดจำนวนมากต่างทยอยเดินทางมากราบไหว้เจ้าแม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพ ที่มีอายุกว่าหลายร้อยปี มีลำต้นขนาดใหญ่หรือประมาณ 5-6 คนโอบ ยาวประมาณ 20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร เป็นต้นตะเคียนที่ใหญ่โตอีกต้นหนึ่งของจังหวัดอุทัยธานี ทั้งนี้ พบว่าชาวบ้านต่างทยอยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำธูปมาจุดกราบไหว้ ขอโชค ขอลาภ กับเจ้าแม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพ บางคนก็เขย่าเซียมซีและเอาเลขที่ได้จากไม้เซียมซีนั้นมาตีเป็นเลข ส่วนสิ่งของที่นิยมมาแก้บนก็มักจะเห็น เป็นผ้าสามสี น้ำอบ ชุดไทย หรือบางคนอาจจะแก้บนด้วยการจ้างนางรำมาถวาย หรือขึ้นอยู่กับคนที่ขอไว้แล้วสมหวัง แล้วนำมาแก้ แต่ที่แปลกนั้นก็คือ ชาวบ้านที่คอยดูแลทำความสะอาดที่วัด ได้พูดถึง เจ้าแม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพแห่งนี้  เป็นสาวสวย ชอบชุดสีเหลืองทอง แต่ที่สำคัญคือเจ้าแม่ไม่ชอบทาแป้ง และได้เล่าถึงชาวบ้านที่มากราบไหว้ได้นำแป้งมาทาที่ลำต้น จนขาวไปหมด ครั้งหนึ่งเจ้าแม่มาเข้าฝันบอกเหม็นแป้ง และตนเองก็ได้นำน้ำสะอาดมาล้างออกให้ท่าน จนทุกวันนี้ ส่วนมากก็จะไม่ค่อยมีคนนำแป้งมาทาให้ท่าน ก็จะเป็นที่มาของเจ้าแม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพแห่งนี้ ที่ชาวบ้านพูดต่อๆกันว่าเจ้าแม่ไม่ชอบทาแป้งแต่ในขณะเดียวกันชาวบ้านและเหล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบไอ้ไข่ รูปจำลอง ที่แกะสลักด้วยแม่ตะเคียน ที่เป็นอีกที่หนึ่งที่ตั้งอยู่ที่วัดเขาถ้ำประทุนแห่งเดียวกันกับเจ้าแม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพ ก็แห่กันมาขอเลขเด็ด จากไอ้ไข่ โดยการจุดธูปขอโชค ขอลาภ ขอหน้าที่การงานสำเร็จ ค้าขายคล่องตัว ส่วนบางคนก็จุดธูปเลขไอ้ไข่ รอธูปหมดดอก แล้วนำเลขมาเสี่ยงดวงซื้อฉลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งนี้ ชาวบ้านที่ต่างกันมากราบไหว้แม่ตะเคียนทรายทองศรีประภาไพ ได้เลข 20 จากการเซียมซี ส่วนชาวบ้านที่ชื่นชอบไอ้ไข่ ก็ได้เลขจุดที่ธูปไอ้ไข่ ได้เลข  816 ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ความเชื่อของบุคคลภาพ-ข่าว สำเนา ทองศรี รายงาน 0613710441

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

รับ ผอ.รร.นครสวรรค์ คณะผู้บริหารโรงเรียนมัธยม คณะครู สมาคมผู้ปกครองและครู สมาคมศิษย์เก่า เพื่อนพ้อง น้องพี่ ร่วมให้การต้อนรับและเดินทางมาส่ง ผอ.รร.นครสวรรค์ แน่นหอประชุม

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 29 ตุลาคมนี้ ที่หอประชุมโรงเรียนนครสวรรค์ มีการจัดงานต้อนรับนางสาวจงกล เดชปั้น ที่เดินทางมารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนนครสวรรค์ เมื่อมาถึง นางสาวจงกล ได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย ศาลหลักเมือง พระพุทธศรีมิ่งเมือง พระพุทธรูปประจำโรงเรียนนครสวรรค์ อนุสาวรีย์อาจารย์โชติ สุวรรณชิน ผู้บริหารที่ก่อตั้งโรงเรียนนครสวรรค์ ณ สถานที่ปัจจุบัน พระวิษณุกรรม พระพิรุณทรงนาค ศาลเจ้าที่  และเข้าภายในหอประชุม รร.นครสวรรค์ ชมวีดีทัศน์ผลงานของ รร.นครสวรรค์ ประวัติและผลงานของนางสาวจงกล เดชปั้น โดยมีนายเฉลิม หงษ์สัมฤทธิ์  อดีตผู้ตรวจราชการกรมสามัญศึกษา อดีต ผอ.รร.นครสวรรค์ เป็นประธานกล่าวต้อนรับและมอบช่อดอกไม้ ของที่ระลึก ต่อจากนั้นมีคณะผู้เข้าร่วมมอบช่อดอกไม้ ของที่ระลึกแสดงความยินดีกับนางสาวจงกล เดชปั้น จำนวนมากมาย เช่น นายอภิเชษฐ์ สิมพลีสวรรค์ รอง ผอ.สพม.42 นางสาวเพ็ญจรัส สิงห์ทอง อดีต ผอ.รร.นครสวรรค์ นายนพดล สันติภาพจันทรา นายกสมาคมผู้ปกครองและครู รร.นครสวรรค์ นายสุภาพ ศักดิ์สัจจา นายกสมาคมศิษย์เก่า รร.นครสวรรค์ นายอิทธิพัทธ์ เตชะสิทธิผลิน ประธานเครือข่ายผู้ปกครอง รร.นครสวรรค์ นายนิรันดร์ ศิริวัฒน์ ประธานชมรมครู รร.นครสวรรค์ นายกฤษฎิ์อธิป ชุตินธรากร รอง ผอ.สพม.42  แล้วต่อด้วยคณะผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษา สพม.42 คณะรองผู้อำนวยการ คณะครู แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมให้การต้อนรับจนเต็มหอประชุมโรงเรียนนครสวรรค์หลังจากนั้นนางสาวจงกล เดชปั้น ได้กล่าวขอบคุณคณะผู้ที่เดินทางมาส่ง คณะผู้ที่ให้การต้อนรับ น่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เป็นเสร็จพิธี ซึ่งการดำเนินพิธีการเป็นไปด้วยความราบรื่น  บรรยากาศแบบมิตรไมตรีมีความอบอุ่น ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายตกลงมา
!!!!!!! ต้อย​ รอบรั้วภูธร​ 0619525644!!!!!!!

นฤมล จับมือ ธรรมนัส ร่วมแก้ปัญหาจัดการน้ำจังหวัดน่านรมช.แรงงาน และ รมช. เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดน่าน ติดตามงานด้านการเกษตร เน้นย้ำ พร้อมขับเคลื่อนแรงงานเกษตรสู่แรงงานฝีมือ มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน



วันที่ 29 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรจังหวัดน่าน ร่วมกับร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมรับฟังข้อมูล การบริหารจัดการน้ำ การจัดที่ดินทำกินแก่เกษตรกร ณ วัดโป่งคํา อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยกระทรวงแรงงานได้ร่วมจัดกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภารกิจของหน่วยงาน ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะฝีมือ การจัดหางาน การเชิญชวนสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 และให้คำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานแก่กลุ่มเกษตรกรศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแล 2 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดน่านและจังหวัดแพร่ โดยได้เน้นย้ำให้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้มั่นคง ซึ่งจากการลงพื้นที่ทำให้ได้เห็นว่าจังหวัดน่านเป็นจังหวัดตัวอย่างในการพลิกฟื้นพื้นที่ป่า โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีโอกาสลงพื้นที่ในโครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และได้พบกับหัวหน้าส่วนราชการเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ และมีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าไปบางส่วนโดยเฉพาะการทำฝาย ซึ่งในวันนี้จะนำข้อมูลจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม กลับไปรายงานให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเช่นกัน เพื่อจะได้หาแนวทางในการช่วยเหลือชาวโป่งคำ เบื้องต้น กระทรวงแรงงานจะได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการฝึกอาชีพ ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว มีการจัดหลักสูตรที่หลากหลาย เช่น การให้ความรู้ทางด้านการเกษตรแนวใหม่  การทำการเกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Farmer โดยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เช่น การพ่นสารเคมีผ่านโดรน เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ นอกจากอาชีพเกษตรแล้ว ช่วงที่ไม่มีการเพาะปลูก สามารถเข้ารับการฝึกอาชีพเสริมได้ ซึ่งสามารถจัดอบรมด้านการพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับบริบทของจังหวัดน่านในแต่ละพื้นที่ เพื่อสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น กระทรวงแรงงานยังได้ร่วมมือกับ ETDA จัดทำทำหลักสูตรด้าน e-commerce เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่มีผลผลิตทางการเกษตร หรือมีสินค้าด้านหัตถกรรมที่ทำนอกฤดูการเกษตร ได้เรียนรู้และสามารถสร้างช่องทางการกระจายสินค้าผ่านออนไลน์ให้เกิดรายได้อีกด้วยรมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จังหวัดน่านได้เสนอโครงการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดน่าน ประกอบด้วย การทำฝายห้วยเฮี้ยพร้อมระบบส่งน้ำ ฝายห้วยโป่งพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งจะสามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรประมาณ 300 ไร่ การปฏิรูปที่ดินเพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทำกิน นอกจากนี้ยังมีโครงการระบบส่งน้ำบ้านศรีบุญเรือง เป็นแผนงานช่วยเหลือจัดหาน้ำสนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงโป่งคำ ซึ่งมีฝายทดน้ำอยู่ที่บ้านนาเลาและได้ดำเนินการก่อสร้างไว้แล้ว แต่ปัญหาคือ ฝายดังกล่าวถูกออกแบบไว้นานแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบ รวมไปถึงโครงการการขุดลอกอ่างเก็บน้ำที่ได้รับงบประมาณเมื่อปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอก เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายนที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากพายุ ซึ่งตอนนี้จะได้ประสานการใช้น้ำไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ว่าจะใช้น้ำอย่างไร เพื่อสงวนน้ำส่วนนี้ให้กับการเกษตรในช่วงฤดูแล้งก่อน ถ้ามีการปรับแผน มีการใช้น้ำเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะเริ่มลงมือดำเนินการโดยศูนย์เครื่องจักรกลที่ 1 ของกรมชลประทาน 1 “ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดน่าน จึงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของจังหวัดน่านที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะการสร้างแรงงานเกษตรให้เป็นแรงงานฝีมือ เพื่อให้สามารถทำการเกษตรภายใต้ความรู้การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัญหาและข้อเสนอที่ได้รับฟังในวันนี้จะนำไปหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจังหวัดน่านต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
!!!!!! ต้อย​ รอบรั้วภูธร​ 0619525644!!!!

โครงการเด็กไทยว่ายน้ำได้ "ฝึกทักษะว่ายน้ำเพื่อป้องกันการจมน้ำ" ณ​ สระว่ายน้ำสนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 เวลา 12:00 น ณ​ สระว่ายน้ำสนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์ นายบดินทร์​ เกษมศานติ์ รองผู้ว่าราชการจังหวั...